UTQ online e-Training Course
ใบความรู้ที่ 2.3 เรื่อง “ รู้จักบล็อก (blog)" โครงการยกระดับคุณภาพครูทั้งระบบ ภายใต้ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง
(Upgrading Teacher Qualification Through the Whole System: UTQ)
Blog คืออะไร Blog เป็นคำรวมมาจากศัพท์คำว่า เว็บล็อก (WeBlog) สามารถอ่านได้ว่า We Blog หรือ Web Log ไม่ว่าจะอ่านได้อย่างไรทั้งสองคำนี้ก็บ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่าคือบล็อก (Blog)
คำว่า "บล็อก" สามารถใช้เป็นคำกริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก และนอกจากนี้ผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพก็จะถูกเรียกว่า "บล็อกเกอร์"
ความเป็นมาของบล็อก “Weblog” ถูกใช้งานเป็นครั้งแรกโดย Jorn Barger ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1997 เริ่มแรกคนที่เขียนบล็อกนั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเพจขึ้นเองทีละหน้า เขียนเป็นงานอดิเรกของกลุ่มสื่ออิสระต่างๆ หลายๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ แต่ในปัจจุบันนี้ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียนบล็อกกันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ อีกทั้งยังมีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียนบล็อกได้มากมาย เช่น Drupal, WordPress, Movable Type เป็นต้น ต่อมามีฝรั่งที่ชอบเรียกสั้นๆ ชื่อนาย Peter Merholz จับมาเรียกย่อเหลือแต่ “Blog” แทนในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1999 และคำคำนี้เริ่มใช้เป็นครั้งแรกๆ ผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสาร จนมาถึงวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2003 ทาง Oxford English Dictionary จึงได้บรรจุคำว่า blog ในพจนานุกรม แสดงว่าได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ บล็อก (Blog) ขึ้นแท่นศัพท์ยอดฮิต อันดับหนึ่ง ซึ่งถูกเสาะแสวงหา ความหมาย ทางพจนานุกรมออนไลน์ มากที่สุด ประจำปี 2004 และคนเขียนบล็อกก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่างๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูลตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนกระทั่งเรื่องราวของการประชุมระดับชาติ และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่าบล็อกเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ, สิ่งพิมพ์, โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่าบล็อกได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ที่สำคัญอย่างแท้จริง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า “เว็บไซต์ ดิกชั่นนารีหรือ พจนานุกรมออนไลน์ “เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์” ได้ประกาศรายชื่อ คำศัพท์ซึ่งถูกคลิก เข้าไปค้นหา ความหมายผ่าน ระบบออนไลน์มากที่สุด 10 อันดับแรกประจำปีนี้ ซึ่งอันดับหนึ่งตกเป็นของคำว่า “บล็อก” (blog) ซึ่งเป็นคำย่อของ “เว็บ บล็อก” (web log) โดยนายอาเธอร์ บิคเนล โฆษกสำนักพิมพ์พจนานุกรมฉบับ เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ กล่าวว่า สำนักพิมพ์ได้เตรียมที่จะนำคำว่า “บล็อก” บรรจุลงในพจนานุกรมฉบับล่าสุดทั้งที่เป็นเล่มและ ฉบับออนไลน์แล้ว แต่จากความต้องการของผู้ใช้ที่หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ตัดสินใจบรรจุคำว่า “บล็อก” ลงในเว็บไซต์ในสังกัดบางแห่งไปก่อน โดยให้คำจำกัดความไว้ว่า “เว็บไซต์ที่บรรจุ เรื่องราวเกี่ยวกับบันทึกส่วนตัวประจำวัน ซึ่งสะท้อนถึงมุมมอง ความคิดเห็นของบุคคล โดยอาจรวมลิงค์เชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ตามความประสงค์ของเจ้าของเว็บบล็อกเองด้วย” โดยทั่วไปคำศัพท์ที่ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมนั้นจะต้องผ่านการใช้งาน อย่างแพร่หลาย มาไม่น้อยกว่า 20 ปี ซึ่งหมายความว่าคำคำนั้นจะต้องถูกนำมาใช้โดยทั่วไปในระยะเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคำศัพท์ ทางเทคโนโลยีรวมไปถึงโรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ อย่างเช่น โรคเอดส์ โรคไข้หวัดซาร์ส ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมภายในระยะเวลาอันสั้น
บล็อกมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบันในวงการสื่อมวลชนในหลายประเทศ เนื่องจากระบบแก้ไขที่เรียบง่าย และสามารถตีพิมพ์เรื่องราวได้โดยไม่ต้องใช้ความรู้ในการเขียนเว็บไซต์ เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูล หรือแนวความคิด โดยการเขียนบล็อกสามารถเผยแพร่ข้อมูลสู่ประชาชนได้รวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าสื่อในด้านอื่นจากความนิยมที่มากขึ้น ทำให้หลายเว็บไซต์เปิดให้มีส่วนการใช้งานบล็อกเพิ่มขึ้นมาในเว็บของตนเอง เพื่อเรียกให้มีการเข้าสู่เว็บไซต์มากขึ้นทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน
ความหมายของคำว่า Blog บล็อก คือรูปแบบหนึ่งของเว็บไซต์ เป็นการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของบล็อกนั้นสามารถครอบคลุมได้ทุกเรื่อง มีเนื้อหาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัวที่สามารถเรียกได้ว่า ไดอารีออนไลน์ หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่างๆ สามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร การประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น การเผยแพร่ผลงาน ในหลายด้าน เช่น สิ่งแวดล้อม การเมือง เทคโนโลยี กีฬา ธุรกิจการค้า เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถแตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่างๆ อีกมากมาย ตามความถนัด ความสนใจของเจ้าของบล็อก เพราะสิ่งสำคัญที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อกนั่นเอง
บล็อกถูกเขียนขึ้นในลำดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้ที่ลำดับแรกสุด โดยปกติบล็อกจะประกอบด้วย ข้อความ ภาพ ลิงค์ และสื่อชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เพลง วิดีโอ หรือสื่ออื่นๆ ที่สามารถแสดงผลผ่านเว็บไซต์ได้
จุดเด่น และจุดแตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์โดยปกติคือ บล็อกเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมายผ่านทางระบบการแสดงความคิดเห็น (Comment) ของตนเองใส่ลงไปในบทความนั้นๆ ซึ่งทำให้ผู้เขียนสามารถได้ผลตอบกลับโดยทันที บล็อกบางแห่งจะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่น กลุ่มเพื่อนๆ หรือครอบครัว
ส่วนประกอบของ Blog บล็อกประกอบไปด้วยส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ
1. หัวข้อ (Title)
2. เนื้อหา (Post หรือ Content)
3. วันเวลาที่เขียน (Date/Time)
การใช้งานบล็อก ผู้ใช้งานบล็อกจะแก้ไขและบริหารบล็อกผ่านทางเว็บบราวเซอร์เหมือนการใช้งานและอ่านเว็บไซต์ทั่วไป โดยจะมีรูปแบบบริหารบล็อกที่แตกต่างกัน เช่นบางระบบที่มีบรรณาธิการของบล็อก ผู้เขียนหลายคนจะส่งเรื่องเข้าทางบล็อก และจะต้องรอให้บรรณาธิการอนุมัติให้บล็อกเผยแพร่ก่อน บล็อกถึงจะแสดงผลในเว็บไซต์นั้นได้ ซึ่งจะแตกต่างจากบล็อกส่วนตัวที่จะให้แสดงผลได้ทันที
ผู้เขียนบล็อกในปัจจุบันจะใช้งานบล็อกในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งไม่ว่า ติดตั้งซอฟต์แวร์ของตัวเอง หรือใช้งานบล็อกผ่านทางเว็บไซต์ที่ให้บริการบล็อก ผู้เขียนบล็อกสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องมีพื้นฐานความรู้ในด้าน HTML หรือการทำเว็บไซต์แต่อย่างใด ทำให้ผู้เขียนบล็อกสามารถใช้เวลาส่วนใหญ่ในการบริหารจัดการ เพิ่มเติม ข้อมูลและสารสนเทศแทนได้ นอกจากนี้ระบบการจัดการบล็อกจะสนับสนุน ระบบ WYSIWYG ซึ่งทำให้ง่ายต่อการเขียน และอาจเพิ่มเติมการมีเทมเพลตในหลายแบบให้เลือกใช้
สำหรับผู้อ่านบล็อกจะใช้งานได้ในลักษณะเหมือนอ่านเว็บไซต์ทั่วไป และสามารถแสดงความเห็นได้ในส่วนท้ายของแต่ละบล็อกโดยอาจจะต้องผ่านการลงทะเบียนในบางบล็อก นอกจากนี้ผู้อ่านบล็อกสามารถอ่านบล็อกได้ผ่านระบบฟีด (Feed) ซึ่งมีให้บริการในบล็อกทั่วไป ทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านบล็อกได้โดยตรงผ่านโปรแกรมตัวอื่นโดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาสู่หน้าบล็อกนั้น
-------------------------
สร้างโดย:
ครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
ประโยชน์ของบล็อก
ผลการศึกษาจากเว็บไซต์ GotoKnow.org ซึ่งเปิดให้บริการบล็อกเพื่อเขียนบันทึก และมีวัตถุประสงค์เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของกลุ่มคนทำงาน
จากจำนวนสมาชิกที่มากมายทำให้พบว่าบล็อกแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่ซึ่งเปิดให้บริการเพื่อเขียนบล็อกเท่านั้น แต่ยังเป็นคลังซึ่งใช้เก็บประโยชน์ต่างๆ มากมายอีกด้วย
คลังประโยชน์ของบล็อก
คลังความรู้ มีความรู้มากมายให้ค้นหา ให้อ่านตามความสนใจ
คลังมิตรภาพ เกิดการปฏิสัมพันธ์กันทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์จนกลายเป็นมิตรภาพดีๆ
คลังแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แสดงความคิดเห็น และต่อยอดความรู้ออกไป
คลังแห่งความสุข เป็นที่ระบายความเครียด ช่วยผ่อนคลาย และเพิ่มความสุขในชีวิต
คลังข้อมูล ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของสมาชิกที่สำคัญ ช่วยให้เจ้าของข้อมูลสามารถดึงดูดข้อมูลออกมาใช้ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว
คลังเพื่อการฝึกฝน เป็นแหล่งฝึกฝนระบบการคิด ทักษะการเขียน และความสามารถด้านถ่ายทอดข้อมูลความรู้ต่างๆ และยังเป็นแหล่งฝึกทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้อย่างดีอีกด้วย
คลัง KM ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีผู้เชียวชาญด้านการจัดการความรู้ (KM) มากมาย อีกทั้งสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการความรู้ (KM) ได้ง่ายเพียงแค่คลิก
คลังประชาสัมพันธ์และกิจกรรมงานบุญ เป็นแหล่งประชาสัมพันธ์กิจกรรมดีๆ เพื่อสร้างสรรค์สังคมมากมาย
คลังแห่งองค์กรต่างๆ บางองค์กรเลือกเว็บไซต์ GOtoKnow.org เป็นเครื่องมือเพื่อติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
คลังเพื่อนช่วยเพื่อน เมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันทั้งทางออนไลน์ จนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน พบว่าเกิดกระบวนการเพื่อนช่วยเพื่อน ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ช่วยสอนวิธีการใช้งานบล็อก
คลังความรู้ฝังลึก อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ที่มี่เป็นคลังความรู้ มีสารประโยชน์ต่างๆ มากมายให้เลือกอ่าน และที่สำคัญความรู้ส่วนใหญ่นั้นเป็นความรู้สึกฝังลึกที่ซ่อนอยู่ ในตัวคนทุกคนนั่นเอง ที่นี่จึงกลายเป๋นคลังความรู้ฝังลึกที่ใหญ่มาก และถ้าหากสามารถสกัดความรู้ฝังลึกเหล่านี้ให้กลายเป็นความรู้ชัดแจ้งได้ ที่มี่กลายเป็นคลังแก่นความรู้ได้ต่อไป
ทั้ง 11 ข้อ เป็นปะโยชน์ที่เกิดจากการสกัดข้อมูลออกมาจากบันทึกจำนวนมาก และแน่นอนว่าประโยชน์ของบล็อกไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกมากมายหลากหลายข้อ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าสามารถนำบล็อกไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใดนั่นเอง
KM กับ Blog
หลายปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของการจัดการความรู้ (KM) ทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างก็สนใจศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการและกระบวนการจัดทำ KM รวมทั้งเครื่องมืออื่นๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการความรู้ เช่น เรื่องเล่าเร้าพลัง สุนทรียสนทนาและอื่นๆ เพื่อให้สามารถนำองค์กรก้าวไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
นอกจากนี้หลายองค์กรจะได้รับคำแนะนำให้ใช้บล็อกเป็นเครื่องมือเพื่อนำองค์กรสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างที่กล่าวไว้ แต่ก็มักจะมีคำถามอยู่เสมอว่า จริงๆ แล้วบล็อกสามารถนำไปจัดการความรู้ได้จริงหรือไม่ บล็อกช่วยพัฒนางาน พัฒนาองค์กรได้อย่างไร และที่ผ่านมายังไม่เคยมีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างชัดเจนสักครั้ง
บทนี้จะเป็นการนำเสนอเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความรู้ หรื KM กับบล็อก ว่าทั้งสองอย่างนั้นเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันอย่างไร ก่อนเปิดอ่านบทต่อไปขอเครียมความพร้อมอีกสักนิดด้วยการให้ผู้อ่านจินตนาการว่า
เว็บไซต์ GotoKnow.org เปรียบได้กับองค์กร หรือ หน่วยงานที่ผู้อ่านได้ทำงานอยู่ร่วมกัน
บล็อกเกอร์ทุกๆ ท่าน ในเว็บไซต์แห่งนี้ เปรียบได้กับคนทำงานในหน่วยงานเดียวกัน เป็นเพื่อร่วมงานที่ต้องพบเจอกันทุกวัน อาจจะเคยพูดคุยกันเป็นประจำ ปรึกษาหารือ และแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ มากมาย หรืออาจจะไม่พูดคุยกันเลย หรืออาจจะเพียงแค่ทักทายกันบ้างเป็นบางครั้ง หรืออาจจะเป็นเพียงแค่เห็นหน้า หรือบางคนอาจจะไม่เคยรู้จักกันเลย
หากผู้อ่านท่านใดเคยทำกิจกรรมสุนทรียสนทนา กิจกรรมเรื่องเล่าเร้าพลัง หรือกิจกรรม AAR มาบ้างแล้ว ให้จินตนาการต่อไปว่วันนี้ท่านได้เฟลี่ยนกิจกรรมเหล่านั้นจากการทำในลักษณะ face to face ที่ได้เจอตัวจริงของผู้เข้าร่วมกิจกรรม มาเป็นการทำกิจกรรมเดียวกันแต่ทำผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ผ่านเครื่องมือสื่อสารที่เรียกว่าบล็อก ผ่านการถ่ายทอดเป็นหนังสือแทนคำพูด
เมื่อจินตนาการมาถึงตรงนี้ขอให้ผู้อ่านจดจำจิตนาการเหล่านี้ไว้ เพื่อนำไปใช้ยังการอ่านบทต่อไป แต่สำหรับผู้อ่านท่านใดที่ยังไม่เคยทำกิจกรรมที่กล่าวมาเลยก็ไม่เป็นไร เพราะสามารถเริ่มเรียนรู้และจินตนาการตามไปพร้อมๆ กันได้
เมื่อพร้อมแล้วอย่ารอช้าขอเชิญก้าวสู่โลกของการจัดการความรู้ผ่านบล็อกในบทต่อไปของหนังสือ บล็อก:เครื่องมือเพื่อการจัดการความรู้
สุนทรียสนทนา กับ บล็อก
สุนทรียสนทนา (Dialogue) เปรียบเสมือนเครื่องมือหลักและเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเครื่องมือชนิดอื่นๆ
จริงๆ แล้ว สุนทรียสนทนาที่ดีขึ้น ผู้ใช้ควรปฏิบัติเป็นประจำจนเนียนไปกับการดำเนินชีวิตประจำวัน เพราะสุนทรียสนทนาที่ดีจะนำไปสู่การจัดการความรู้ที่ดีได้
การสนทนามีทั้งการสื่อสารผ่านการพูดคุย และการสื่อสารผ่านการเขียนตอบโต้กันไปมา
จากหนังสือ KM วันละคำ เขียนโดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช หน้า 59 เขียนไว้ว่า "สุนทรียสนทนาประกอบด้วย การพูดออกมาจากใจ พูดจากความรู้สึก จากประสบการณ์ตรง และการฟังอย่างลึกซึ้ง ฟังอย่างไม่ตัดสินใจถูก-ผิด ไม่แย้ง (ไม่ว่าจะโดยวาจาหรือการคิด) แต่ฟังจนจบโดยยังไม่ตัดสินใจ"
กระบวนการดังกล่าวนี้ สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเขียนบันทึกในบล็อกได้เช่นกัน ก่อให้เกิดการทำสุนทรียสนทนาขึ้นภายในบล็อก
"สุนทรียสนทนา" และ "บล็อก"
ผลการศึกษาจากหลากหลายบันทึกในเว็บไซต์ GotoKnow.org บล็อกเกอร์ส่วนใหญ่จะทำทั้งการอ่านและการเขียนบันทึก พร้อมทั้งร่วมแลกปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ซึ่งกิจกรรมที่ทำทั้งหมดนี้บล็อกเกอร์สามารถนำสุนทรียสนทนามาปรับใช้ได้ทั้งสิ้น จึงขอแบ่งวิธีการนำสุนทรียสนทนามาใช้ในกิจกรรมต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. เขียนบันทึกอย่างมีสุนทรียสนทนา
2. อ่านบันทึกอย่างมีสุนทรียสนทนา
3. แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างมีสุนทรียสนทนา
การเล่าเรื่อง กับ บล็อก
การเล่าเรื่อง หรือ Storytelling หรือ เรื่องเล่าเร้าพลังนั้น ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ได้กล่าวไว้ในหนังสือ KM วันละคำ "จากนักปฏิวัติ สู่นักปฏิบัติ KM " หน้า 57 "เรื่องเล่าคือ สำเภาบรรทุกความรู้บูรณาการ " หรือ "นาวาความรู้ปฏิบัติ" ไม่ใช่ความรู้แยกส่วนอย่างที่เราคุ้นเคย แต่เป็นความรู้ที่ผสมปนเปกับแบบต้มยำหรือขนมเปียกปูน"
สำหรับเป้าหมายสำคัญที่สุดของการเล่าเรื่องนั้น ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช (วิจารณ์,2548) อธิบายไว้ว่า คือการให้ความรู้จากการปฏิบัติปลดปล่อยความรู้ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ (ความเชื่อ), ในส่วนลึกของสมอง (ความคิด), และส่วนลึกของร่างกาย (การปฏิบัติ) ออกมาเป็นคำพูดและหน้าตาท่าทาง (nonverbal communication)
นั้นหมายความว่าการเล่าเรื่องนั้น ไม่จำเป็นต้องมาจากคนที่เก่งที่สุด หรือมีความรู้มากมาย แต่คนทำงานทุกคนสามารถทำกิจกรรมเล่าเรื่องได้
วิธีและขั้นตอนของการเล่าเรื่อง (วิจารณ์,2548) มีดังต่อไปนี้
• กำหนดเป้าหมายของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างชัดเจน
• แบ่งเป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มละไม่เกิน 10 คน
• มีการเลือกผู้ทำหน้าที่ดำเนินการประชุมและสรุปประเด็น นอกจากนี้ยังต้องมีผู้คอยจดบันทึกการประชุมด้วย
• ผู้เข้าร่วมจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับความสำเร็จ และความภาคภูมิใจออกมา
• สุดท้ายผู้เข้าร่วมจะต้องช่วยกันสกัด หรือ ถอดเอาความรู้จากเรื่องที่เล่าออกมาให้ได้
จนกระทั่งความรู้ฝั่งลึกกลายเป็นความรู้ชัดแจ้ง และสามารถนำเอาความชัดแจ้งนี้ไปปฏิบัติต่อได้จริง
AAR กับ บล็อก
After Action Review หรือ "AAR" หรือ "เรียนรู้ระหว่าง" หรือ "ทบทวนหลังกิจกรรม"
เป็นกิจกรรมที่นิยมทำขึ้นหลังจากทำงานชิ้นเล็กๆ สำเร็จ หรืออาจจะนำมาใช้เพื่อทบทวนผลการดำเนินงานระหว่างการทำงานชิ้นใหญ่ๆ หรืองานประจำก็ได้
AAR เป็นเครื่องมือง่ายๆ แต่ทรงพลังมากชิ้นหนึ่ง เป็นเครื่องมือที่เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ทบทวนตนเองว่างานที่ทำคืบหน้าไปมากน้อยเพียงใด มีอุปสรรคหรือปัญหาบ้างหรือไม่ และมีแนวทางแก้ไขอย่างไร อีทั้งยังเป็นเครื่องมือในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปฏิบัติงานได้อีกด้วย
ส่วนใหญ่แล้วจะให้ผู้ร่วมงานนั่งล้อมวงเป็นรูปตัวยู ต่อจากนั้นคนที่อาวุโสน้อยที่สุดจะเริ่มพูดก่อนเพื่อลดความกดดันในการพูดเพื่อให้ตรงกับผู้บังคับบัญชา โดยจะบอกว่าขณะนี้ตนเองจะพูดถึงกิจกรรมหรืองานใด เป็นการเกริ่นนำก่อนที่จะเล่างานของตนออกมา ซึ่งเรื่องที่เล่ามักจะสอดคล้องกับคำถามเหล่านี้
1. คาดหวังอะไรกับกิจกรรมที่ผ่านมา หรือมีวัตถุประสงค์อะไรบ้างกับกิจกรรมที่ผ่านมา ซึ่งผู้เล่าจะกล่าวถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ไว้กี่ข้อ อะไรบ้าง
2. อะไรบ้างที่เกินความคาดหมาย หรือวัตถุประสงค์ใดบ้างที่ไม่บรรลุตามความคาดหวัง เพราะเหตุใด ซึ่งผู้เล่าจะกล่าวถึงเป้าหมายในข้อ1 เป้าหมายใดบ้างที่สามารถทำได้ดีเกินคาด เพราะอะไร
3. อะไรบ้างที่ไม่บรรลุความคาดหมาย หรือวัตถุประสงค์ใดบ้างที่ไม่บรรลุตามความคาดหวัง เพราะเหตุใด ซึ่งผู้เล่าจะกล่าวถึงเป้าหมายในข้อ1 ว่าเป้าหมายใดบ้างที่ไม่บรรลุผลตามที่คาดหวังหรือบรรลุผลน้อยกว่าที่คาดหวังไว้ เพราะเหตุใด รวมทั้งมีปัญหาอุปสรรคใดเกิดขึ้นบ้าง
4. ถ้ามีกิจกรรมอย่างนี้อีกจะมีข้อเสนอแนะใดบ้าง หรือควรปรับปรุงเรื่องใด ซึ่งผู้เล่าจะกล่าวถึงกิจกรรมทั้งหมดที่ได้ทำไปแล้วนั้นควรที่จะปรับปรุง หรือเพิ่มเติมสิ่งใดบ้าง เพื่อให้งานดีขึ้น หรือควรนำไปปรับใช้กับกิจกรรมครั้งต่อไป
5. ประโยชน์ที่ได้รับจากกิจกรรมนี้ และจะสามารถนำความรู้ที่ได้จากกิจกรรมนี้ไปทำประโยชน์อะไรต่อไปนี้ ซึ่งผู้เล่าจะกล่าวถึงความคาดหวังของตนเองว่าจะสามารถนำประยุกต์ใช้กับงานหรือกิจกรรมใดได้บ้าง
ความเป็นจริงแล้วนั้นการทำ AAR ในแต่ละครั้ง อาจจะไม่ต้องกล่าวครบถ้วนทุกข้อก็ได้ และการทำAAR ของแต่ละองค์กรนั้นอาจจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมขององค์กรนั้นๆ ด้วยเช่นกัน
Routine to Research (R2R) กับ บล็อก
R2R หรือ Routine to Research หรือ "งานวิจัยในงานประจำ" เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ทำให้งานประจำกลายเป็นงานวิจัย R2R เป็นกระบวนการที่จะช่วยเปลี่ยนชีวิตการทำงานอันน่าเบื่อหน่าย ซ้ำซาก จำเจ หรือทำไปแบบวันต่อวัน ให้กลายเป็นงานวิจัยอันน่าทึ่ง และต่อยอดความรู้ส่งผลให้เกิดการพัฒนาตนเอง พัฒนางาน พัฒนาองค์กร และพัฒนาประเทศต่อไป
CoP กับ บล็อก
Commuunity of Practive (CoP) หรือ ชุมชนแนวปฏิบัติ CoP หรือ Community of Practive อ้างอิงตามหนังสือผู้บริหารองค์กรอัจฉริยะ ฉบับนักปฏิบัติ โดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช หน้า 148 จะสามารถอธิบายได้ว่า
"เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง ต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการปฏิบัติเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป้าหมายของชุมชนแนวปฏิบัติ มี 2 ด้าน คือ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยตรงกับด้านการเกิดชุมชน หรือมิตรไมตรีระหว่างสมาชิกชุมชนแนวปฏิบัติที่เข้มแข็งจะมีสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างเป้าหมายทั้งสองด้าน ซึ่งความเหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือรายละเอียดหลากหลายด้าน"
นอกจากคำอธิบายดังกล่าวแล้ว ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ยังได้อธิบายไว่ในหนังสือการจัดการความรู้ฉบับปฏิบัติ หน้า 167 ว่า
"ชุมชนแนวปฏิบัติ" (CoP-Community of Practive) เป็นเครื่องมือการจัดการความรู้ที่ง่ายและทรงพลังมากชิ้นหนึ่ง มองจากมุมหนึ่งชุมชนแนวปฏิบัติ คือ รูปแบบหนึ่งของกิจกรรม "ตัวปลา" คือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยความเป็นจริงในกลุ่มคนหรือองค์กรมักจะมีชุมชนอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคมมีธรรมชาติที่ต้องการการรวมกลุ่ม เกิดความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยจากการรวมกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ "ถูกคอกัน" ดังนั้นการใช้ "ชุมชนแนวปฏิบัติ" เป็นเครื่องมือของการจัดการความรู้เพื่อบรรลุ "หัวปลา" ขององค์กรจึงควรพัฒนาขึ้นจากรากฐานความเข้าใจของมนุษย์"
การส่งเสริมให้เกิดชุมชนแนวปฏิบัติในโลกของความจริงนั้น สามารถทำได้หลากหลายวิธี แต่สิ่งสำคัญคือชุมชนแนวปฏิบัติต้องเกิดจากการรวมกลุ่มด้วยความสมัครใจของสมาชิกทุกคน ชุมชนที่เกิดขึ้นจึงจะสามารถตั้งอยู่ได้อย่างยั่งยืน
สำหรับชุมชนแนวปฏิบัติที่มีเว็บไซต์ GotoKnow.org นั้นจากการศึกษาพบว่า สามารถแบ่งชุมชนแนวปฏิบัติออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. ชุมชนแนวปฏิบัติเพื่อการพัฒนางาน
2. ชุมชนแนวปฏิบัติเพื่อศึกษาเรื่องที่สนใจ
"CoP" กับ "บล็อก"
เมื่อกลับไปพิจารณาถึงคำอธิบายของชุมชนแนวปฏิบัติที่อธิบายไว้ข้างต้นว่า "ชุมชนแนวปฏิบัติ คือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้" และมนุษย์ชอบการรวมกลุ่มนั้น จะพบว่าบล็อกสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนให้ก่อกำเนิดชุมชนแนวปฏิบัติได้ทั้ง 2 กลุ่มดังที่กล่าวไปแล้ว ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
1. เปิดบล็อกและกำหนดประเด็นหลัก เพื่อใช้ในการเขียนบันทึกทุกบันทึกภายในบล็อกอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น เพื่อเขียนเรื่องงานเท่านั้น หรือเพื่อเขียนเรื่องท่องเที่ยวเท่านั้น หรือเพื่อเขียนเรื่องดาราศาสตร์เท่านั้น เป็นต้น
2. กำหนดคำสำคัญอย่างน้อยหนึ่งคำ เพื่อเชื่อมโยงทุกบันทึกภายในบล็อกเข้าไว้ด้วยกัน เช่น กล้วยไม้ ดวงดาว หรือหนังสือ เป็นต้น เพราะว่าเมื่อมีการค้นหาบันทึก โดยใช้คำสำคัญก็จะมีบันทึกที่คำสำคัญเหล่านี้ปรากฏขึ้นเป็นจำนวนมาก หากมีบันทึกของท่านที่ใช้คำสำคัญดังกล่าวบ่อยๆ จะแสดงให้เห็นความสนใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเป็นพิเศษ
3. แสวงหาบล็อกเกอร์ที่สนใจและเขียนบล็อกแนวเดียวกันด้วยการค้นหาโดยใช้คำสำคัญ เช่น กล้วยไม้ เป็นต้น ขั้นตอนนี้อาจจะเสียเวลาอยู่บ้างในการค้นหาว่ามีบล็อกเกอร์ท่านใดบ้างที่สนใจเรื่องเดียวกัน แต่ถ้าบล็อกเกอร์ทำการกำหนดคำสำคัญตามข้อ 2 จะช่วยให้ลดเวลาในการค้นหาได้
4. สร้างแพลนเน็ต เพื่อรวบรวมบันทึกของตนเองและบล็อกเกอร์ท่านอื่นๆ ที่สนใจและเขียนเรื่องเดียวกัน
5. เริ่มเขียนบันทึกความรู้ เรื่องเล่า หรือประสบการณ์ต่างๆ ตามประเด็นหลักที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ
6. เริ่มกระบวนการแนะนำตนเองกับบล็อกเกอร์ที่สนใจเรื่องเดียวกัน และนำตนเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นเป็นประจำ ขั้นตอนนี้ต้องใช้สุนทรียสนทนา และอาศัยระยะเวลาอยู่กว่าจะเกิดความรู้สึกมีไมตรีต่อกัน จนกระทั่งเกิดชุมชนแนวปฏิบัติขึ้นมาได้ในที่สุด
CoP ประเภทนี้เป็น CoP ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดจากการรวมกลุ่มของบุคคลที่สนใจในเรื่องเดียวกัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะเป็นชุมชนที่เหนียวแน่นหรือชุมชนแบบหลวมๆ นั้น ก็ขึ้นอยู่กับบล็อกเกอร์ ที่มาร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้นั่นเอง
วิธีการนี้อาจจะเหมาะกับผู้ที่ชอบแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบสบายๆ และบล็อกเกอร์หนึ่งคนสามารถอยู่ได้ในหลายชุมชนขึ้นอยู่กับว่าบล็อกเกอร์แต่ละคนนั้นคิด เขียน และสนใจในเรื่องใด หากสนใจในเรื่องเดียวกันก็มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้บันทึกของกันและกัน เกิดทั้งความสัมพันธ์แห่งมิตรไมตรี และขณะเดียวกันก็ได้รับความรู้ไปพร้อมๆ กันด้วย
นอกจากนี้วิธีการนี่ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับกลุ่มของคนที่มีอาชีพเดียวกันมีการรวมกลุ่มเพื่อศึกษาเรื่องเดียวกันอยู่เป็นประจำแล้ว และนำบล็อกมาใช้เพื่อช่วยให้คนในกลุ่มสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้อย่างสะดวกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บล็อกมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนชุมชนแนวปฏิบัติที่มีอยู่แล้วให้เข้มแข็งขึ้น
ที่มา: http://portal.in.th/blog-km/pages/13253/
ข้อควรทำและไม่ควรทำในการใช้งาน Blog
สิ่งที่สามารถทำได้
บันทึกเรื่องราวส่วนตัว อัลบั้มส่วนตัว
เก็บแกลเลอรี่ส่วนตัว รูปถ่ายจากกิจกรรม หรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆได้
เขียนบทความ และความรู้ต่างๆ
ใช้เป็นที่แลกเปลี่ยนความรู้ และความคิดเห็นในกลุ่มเดียวกัน
สร้างเว็บแฟนคลับ ดารา นักร้อง ภาพยนต์ ที่ตัวเองชื่นชอบได้
และอีกมากมาย
สิ่งที่
ไม่ควร ทำ ถ้าพบเห็นจะถูกระงับทันที และจะลบไฟล์ทั้งหมดออกจากระบบทันที
เก็บรูปภาพลามกอนาจาร หรือเนื้อหาวีดีโอต่างๆที่ไม่เหมาะสม
เก็บไฟล์เพลงที่เราไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์ให้ download
ให้ download ซอฟแวร์เถื่อน หรือแจก Serial Number, Crack File ฯลฯ ที่ผิดกฏหมาย
ใช้งาน Blog ในทางที่ผิดกฏหมาย พาดพิงที่ผู้อื่นในทางเสียหาย หรือเสื่อมเสียชื่อเสียง
สิ่งที่ไม่แนะนำให้ทำ
ใช้ ThaiBlogOnline.com เป็นที่เก็บรูปภาพหรือไฟล์ต่างๆ แต่นำไปใช้ที่เว็บไซต์อื่น
5 เหตุผลดีๆที่คุณควรมี Blog
1. คุณเป็นคนที่ชอบเขียนเรื่องราวบทความต่าง มีจินตนาการกว้างไกล ชอบท่องเที่ยว บันทึกการเดินทางต่างๆ
2. อยากมีเว็บไซต์ส่วนตัว มีเนื้อที่ในการอัพโหลดไฟล์ แต่ทำเว็บไม่เป็น หรือไม่มีความรู้ในการทำเว็บไซต์มากนัก 3. ถ้ามีคนเข้าชม Blog ของคุณเยอะมากๆ คุณสามารถหารายได้จากโฆษณาได้
4. คุณชอบอ่าน Blog ของคนอื่น เพราะคุณสามารถที่จะ Feed (ดึงเนื้อหาในรูปแบบ XML) จาก Blog ของคนอื่นเข้ามาใน Blog ของเราได้ ทำให้ไม่ต้องไล่อ่านทุก Blog ที่คุณอ่านเป็นประจำ
5. คุณจะได้เพื่อนใหม่อีกมากมายที่ชอบในสิ่งเดียวกัน
Blog ทำอะไรได้บ้าง
ThaiB l o g Online.com อนุญาติให้ผู้ใช้งานหรือ blogger สามารถโพสรูปภาพ ในรูปแบบ jpeg, gif และ png ได้ สามารถโพสไฟล์ Macromedia Flash (.swf) ได้ และไฟล์มัลติมีเดีย mpeg, mpg, avi, mp3, wma ได้ นอกจากนี้ ผู้ใช้งานสามารถสร้างเนื้อหาของต้นเองได้ด้วยวิธีง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้คำสั่ง HTML หรือ Javascipt แต่อย่างใด เพราะทูลที่เรานำมาให้ใช้งานนั้น เป็นทูลแบบ WYSIWYG (what you see is what you get) อย่างเช่น ปรับขนาดตัวหนังสือ เปลี่ยนสี ขึ้นย่อหน้า ใส่รูป ด้วยการคลิ้กเมาส์ไปที่ทูลบาร์ต่างๆ เสมือนกับการใช้งานโปรแกรมสำเร็จรูปอย่าง Microsoft Word เป็นต้น
ที่มา:http://www.thaiblogonline.com/howtouse.blog?PostID=2994
ตัวอย่างการใส่คลิปวีดีโอจาก YouTube Blogspot
VIDEO
ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=0P0dvbV3CjY&feature=related
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น