Font updated, please click 'Generate Code' again!

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

การใช้งาน Search Engine

Search Engine คืออะไร





         Google.com เป็น Search Engine ตัวหนึ่ง (หรือจะเรียก ที่หนึ่ง ก็ได้) ซึ่งหากเราเราจะเรียกแบบบ้าน ๆ ตามประสาคนท่องเว็บแล้ว Search Engine ก็คือ เครื่องมือในการค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตนั่นเอง นอกจาก Google แล้วยังมี Search Engine อีกหลาย ๆ ที่ ซึ่งดัง ๆ ที่เราพอจะคุ้นตาคุ้นหูอยู่บ้างก็อาทิเช่น Yahoo MSN เป็นต้น (ขอแนะนำที่ดัง ๆ เป็นพอ ไม่ดังไม่สน)
       ซึ่งในปัจจุบันหากให้เดาเพื่อน ๆ คงจะพอเดาถูกว่า Search Engine ที่ดังที่สุด (มีคนใช้เยอะสุด ๆ) ก็คือ Search Engine พระเอกที่ชื่อว่า Google.com นั่นเอง ซึ่งเป็น Search Engine ที่มีคนใช้เยอะมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่มีให้บริการมาไม่กี่ปีนี่เอง เปิดบริการมาไม่นานก็แซงหน้าขาใหญ่เดิมอย่าง Yahoo ไปชนิดที่เรียกว่ามองแทบไม่เห็นฝุ่น ก็เพราะว่าด้วยรูปแบบที่ใช้งานง่าย และรวดเร็วนั่นเอง แถมเป็นภาษาไทยด้วย ยิ่งถูกใจคนไทยเป็นอย่างยิ่ง 
           ซึ่งปรากฏการ google ฟรีเว่อร์นี้เอง ที่ทำให้คนส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Webmaster หันมาทำ SEO เจาะที่ Search Engine ที่มีชื่อว่า Google กันอย่างถล่มทะลาย

พูดไปเรื่องของ SEO แต่ล่ะที่ ที่ดัง ๆ ไปแล้ว เราก็มารู้เรื่องเกี่ยวกับประเภทของ Search Engine กันซักหน่อย ซึ่ง Search Engine ก็มีอยู่หลาย ๆ ประเภท ดังนี้

1. แบบอาศัยการเก็บข้อมูลเป็นหลัก (Crawler-Based Search Engine)
          หลักการนี้เป็นการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Crawler-Based Search Engine เป็นเครื่องมือที่ทำการบันทึกและเก็บข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งเป็นประเภท Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน         ซึ่งการทำงานประเภทนี้ จะใช้โปรแกรมตัวเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Web Crawler หรือ Spider หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Search Engine Robots หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า บอท ในภาษาไทย www คือเครือข่ายใยแมงมุม ตัวโปรแกรมเล็ก ๆ ตัวนี้ก็คือแมงมุมนั่นเอง โดยเจ้าแมงมุมตัวนี้จะทำการไต่ไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วโลกอินเตอร์เน็ต โดยอาศัยไต่ไปตาม URL ต่าง ๆ ที่มีการเชื่อมโยงอยู่ในแต่ละเพจ แล้วทำการ Spider กวาดข้อมูลที่จำเป็นต่าง ๆ (ขึ้นอยู่กะ Search Engine แต่ละที่ว่าต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง) แล้วเก็บลงฐานข้อมูล การใช้โปรแกรมกวาดข้อมูลแบบนี้ จึงทำให้ข้อมูลที่ได้มีความแม่นยำ และสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้เร็วมาก Search Engine ที่เป็นประเภทนี้ เช่น Google Yahoo MSN


2. แบบสารบัญเว็บไซต์ (Web Directory)           Search Engine ที่เป็นแบบนี้มีอยู่หลายเว็บไซต์มาก ๆ ที่ดังที่สุดในเมืองไทย ที่เอ่ยออกไปใครใครคงต้องรู้จัก นั้นก็คือที่สารบัญเว็บของ Sanook.com ซึ่งหลาย ๆ คนคงเคยเข้าไปใช้บริการ หรืออย่างที่ Truehits.com เป็นต้น
          ส่งที่เราจะสังเกตเห็นจาก Search Engine ประเภทนี้ก็คือ ลักษณะของการจัดเก็บข้อมูลที่แสดงให้เราเห็นทั้งหมด ว่ามีเว็บอะไรบ้างอยู่ในฐานข้อมูล ซึ่งแตกต่างจากประเภทแรก ที่หากคุณไม่ค้นหาโดยใช้คำค้น หรือ Keyword แล้ว คุณจะมีทางทราบเลยว่ามีเว็บไซต์อะไรอยู่บ้าง และมีเว็บอยู่เท่าไหร่
แบบสารบัญเว็บไซต์ จะแสดงข้อมูลที่รวบรวมเว็บไซต์ที่มีทั้งหมดในฐานข้อมูล และจะแบ่งเป็นหมวดหมู่ และอาจจะมีหมวดหมู่ย่อย ซึ่งผู้ค้นหาข้อมูลสามารถคลิกเข้าไปดูได้
         หลักการทำงานแบบนี้ จะอาศัยการเพิ่มข้อมูลจากเจ้าของเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ต้องการประชาสัมพันธ์เว็บ หรืออาจใช้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลส่วน Search Engine เป็นผู้หาข้อมูลเว็บไซต์มาเพิ่มในฐานข้อมูล ซึ่งข้อมูลในส่วนของสารบัญเว็บไซต์จะเน้นในด้านความถูกต้องของฐานข้อมูล ซึ่งข้อมูลเว็บไซต์ที่ถูกเพิ่มเข้ามาจะถูกตรวจสอบและแก้ไขจากผู้ดูแล


3. แบบอ้างอิงในคำสั่ง Meta Tag (Meta Search Engine )        Search Engine ประเภทนี้จะอาศัยข้อมูลใน Meta tag (อยากรู้ดูในบทความหน้า) ซึ่งเป็นส่วนของข้อมูลที่อยู่ในแท็ก HEAD ของภาษา HTML ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้ จะเป็นส่วนที่ให้ข้อมูลกับ Search Engine Robots
        Search Engine ประเภทนี้ไม่มีฐานข้อมูลของตนเอง แต่จะอาศัยข้อมูลจาก Search Engine Index Server ของที่อื่น ๆ ซึ่งข้อมูลจะมาจาก Server หลาย ๆ ที่ ดังนั้น จึงมักได้ผลลัพธ์จากการค้นหาที่ไม่แม่นยำ


แหล่งที่มา: http://www.cms-4u.com/knowledge_id57.html

Search Engine ทำงานอย่างไร?

การทำ Search Engine มีหลายแบบ ได้แก่
1. การแนะนำผ่าน Search Engine ของต่างประเทศ    เครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดเพื่อการประชาสัมพันธ์หรือโปรโมทเว็บไซต์เปรียบเสมือนคนที่มีความกว้างขวางและคอยแนะนำให้นักท่องเน็ตรู้จักเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยนายโฮสดอทคอมจะแนะนำผ่าน Search Engine ของต่างประเทศ มากถึง 100 แห่ง ซึ่งประกอบด้วย Search Engine ที่ได้รับความนิยมสูงทั้งหลายเช่น yahoo!, altavista, google, go, excite, lycos, powersearch, earthfine, และอื่น ๆ อีกมาก (Search Engine คือ เว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งรวบรวมเว็บไซต์อื่น ๆ และสามารถค้นหาเว็บไซต์เป้าหมายได้ด้วยชื่อหมวด Category หรือคำค้น Keyword)

2. การแนะนำผ่าน Seach engine และเว็บไซต์ไดเร็คตอรี่ของไทย    เว็บไซต์ของคนไทยจำนวนมากที่มีเนื้อหาเป็นภาษาไทยและสร้างขึ้นโดยมีเป้าหมายคือกลุ่มคนไทย ดังนั้นการแนะนำเว็บไซต์ของท่านผ่าน Search Engine
สัญชาติไทยจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และรวมไปถึงเว็บไซต์ของไทยรายอื่น ๆ ที่มีลักษณะเป็นไดเร็คตอรี่เพื่อการจัดหมวดหมู่เว็บไซต์อื่นด้วยโดย นายโฮสดอทคอม ได้รวบรวมเว็บไซต์เหล่านี้จำนวนกว่า 100 ไซต์
    อาทิ sanook, hunsa, 108-1009, mthai, lemononline, catcha, yumyai, I-kool, thaiwebhunter, siamguru,thaiseek, thaicast, thaimisc และอื่น ๆ อีกมาก

การทำงานของเว็บไซต์ค้นหา
    ก่อนที่เราจะใช้ เว็บไซต์ค้นหา ในการทำตลาดให้กับเว็บไซต์ของเรา เรามาดูวิธีการทำงานของเว็บไซต์ค้นหาต่าง ๆ กันก่อนดีกว่า ปกติแล้วเว็บไซต์ค้นหาจะแบ่งออกเป็น 3 จำพวกนั่นคือ
     Search Engine เป็นเว็บไซต์ที่มีเครื่องมือในการที่จะค้นหาเว็บไซต์ต่าง ๆ มาเก็บไว้ในฐานข้อมูลของตัวเองโดยอัตโนมัติ เช่น Google.com หรือ Altavista.com ซึ่งเครื่องมือนี้ มีชื่อเรียกว่า Search Robot จะทำหน้าที่คอยวิ่งเข้าไปอ่านข้อความจากหน้าเว็บไซต์ ของเว็บต่าง ๆ แล้วนำมาจัดลำดับคำค้นหา (Index) ที่มีในเว็บไซต์เหล่านั้น เก็บไว้ในฐานข้อมูลของตนเอง เมื่อเราเข้าไปใช้บริการ กับ Search Engine ต่าง ๆ ก็จะเป็นการไปค้นหาคำต่าง ๆ ที่ Search Engine ได้เก็บรวบรวมไว้แล้วนั่นเอง
     Web Directory เป็นเว็บไซต์ค้นหาที่ใช้วิธีการ เพิ่มข้อมูลเข้าไปในฐานข้อมูลของระบบด้วย กำลังคน (มี เจ้าหน้าที่คอยเพิ่มข้อมูลเข้าไป) จะไม่มีการส่ง Robot ออกไปค้นด้วยตนเองแต่อย่างใด ซึ่งการจะนำชื่อเว็บไซต์ของเราให้เข้าไปอยู่ใน Web Directory นี้จะต้องไปทำการเพิ่มชื่อเข้าไปเอง เว็บประเภทนี้ก็เช่น Yahoo.com และ Dmoz.org
     Meta Engine เป็นเว็บไซต์ที่ไปค้นหาจากเว็บไซต์ค้นหาอีกที ซึ่งเว็บประเภท Meta Crawler นี้จะทุ่นแรง โดยการนำคำทีต้องการค้น ไปค้นจากเว็บค้นหาประเภทต่าง ๆ และนำมาแสดงรวมกันให้เราดูอีกที ซึ่งก็สะดวกไปอีกแบบหนึ่งครับ เว็บประเภทนี้ก็เช่น Metacrawler.com, Go2net.com และ Thaifind.com
แถมให้ เพิ่มเติมวิธีการหาข้อมูลที่ต้องการให้พบ
     การ หาข้อมูลที่ต้องการให้พบ ไม่ใช่เรื่องยาก หากมีเทคนิคนิด ๆ หน่อย... โดยปกติแล้วการค้นหาข้อมูลที่ต้องการก็เพียงแค่ เราไปใส่คำที่ต้องการค้นหาในเว็บไซต์ค้นหา แล้ว กดปุ่ม สำหรับค้น ก็จะมีข้อมูลต่าง ๆ ออกมาให้เราเลือก ว่าใช่เรื่องที่เราต้องการค้นหาหรือไม่ แต่หากเราใช้คำหลาย ๆ คำเช่น Bronze Sculpture Thailand
บางทีอาจจะทำให้เว็บไซต์ค้นหา แสดงผลออกมาได้ไม่ตรงกับความต้องการก็ได้ ซึ่งในเกือบทุก ๆ เว็บไซต์ค้นหา จะยอมรับคำสั่งทั่ว ๆ ไป ในการแสดงผลลัพธ์ ซึ่งหากเรานำคำสั่งเหล่านั้นมาใช้ ก็จะช่วยให้เราค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้เร็ว ซึ่งคำสั่งทั่ว ๆ ไปมีดังนี้ 
     AND เป็น คำสั่งให้รวมคำค้นหาที่อยู่ระหว่าง AND เข้าด้วยกัน เช่น Bronze AND Thailand เว็บไซต์ค้นหา จะไปหาหน้าเว็บไซต์ที่มี ทั้งคำว่า Bronze และ Thailand อยู่ในหน้าเดียวกันออกมา วิธีใช้คำสั่งจะสามารถใช้ได้ในหลายรูปแบบดังนี้ Bronze AND Thai, "Bronze Thai", Bronze + Thai, Bronze & Thaiแต่ที่นิยมใช้มากที่สุดจะอยู่ในรูปแบบ Bronze + Thai 
    OR เป็น คำสั่งให้เลือกคำใดคำหนึ่ง หรือ ทั้งสองคำมาแสดงผล เช่น Bronze OR Thailand เว็บไซต์ค้นหา จะค้นหาหน้าเว็บไซต์ ที่มีคำว่า Domain หรือ Siam ออกมาแสดงก็ได้ ซึ่งปกติแล้ว ค่าเริ่มต้นของทุก เว็บค้นหา จะเป็น OR อยู่แล้ว วิธีใช้คำสั่งจะสามารถใช้ได้หลายรูปแบบดังนี้
    Bronze OR Thailand, Bronze Thailand แต่ที่นิยมมากที่สุดจะอยู่ในรูปแบบ Bronze Thailand 
    NOT เป็นคำสั่งให้ตัดเว็บไซต์ที่มีคำค้นหา ตามหลัง NOT ออกไป เช่น Thailand NOT Bangkok เป็นคำสั่งให้ค้นหาคำว่า Thailand แต่ไม่เอาหน้าที่มีคำว่า Bangkok วิธีใช้คำสั่งจะสามารถใช้ได้หลายรูปแบบดังนี้
     Thailand NOT Bangkok, Thailand -Bangkokแต่ที่นิยมมากที่สุดจะอยู่ในรูปแบบ Thailand -Bangkok
ซึ่ง หากเรานำคำสั่งต่าง ๆ เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับคำค้นหาเรา ก็จะทำให้เราสามารถค้นหาเว็บที่ให้ข้อมูลได้ตรงกับความต้องการภายในเวลารวด เร็ว
 
ค้นหา (Search Engine)
คือ เครื่องมือสำหรับให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ สามารถค้นหาข้อมูลของคำที่ต้องการค้นหาได้
              

การใช้งานปุ่มค้นหา  (Search Engine) มี 2 วิธีดังต่อไปนี้
วิธีที่ 1  ค้นหาจากในเว็บ  คือ ระบบจะทำการค้นหาข้อมูลที่มีอยู่ภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น  โดยมีขั้นตอนดังนี้
            1. คลิกปุ่ม  เพื่อให้ระบบทำการค้นหาข้อมูลจากในเว็บเท่านั้น
            2. พิมพ์คำที่ต้องการค้นหาลงไปในช่อง จากนั้นคลิกปุ่มค้นหา ดังภาพ
                 
            3. จากนั้น ระบบจะทำการค้นหาข้อมูลภายในเว็บไซต์ ดังภาพ

 

วิธีที่ 2  ค้นหาจากใน Google คือ ระบบจะทำการเชื่อมโยงการค้นหานั้นไปยัง http://www.google.co.th/ เพื่อให้
             สามารถค้นหาคำที่เราต้องการได้จากเว็บไซต์อื่นๆ โดยมีขั้นตอนดังนี้
            1. คลิกปุ่ม  เพื่อให้ระบบทำการค้นหาเชื่อมโยงไป http://www.google.co.th/ 
            2. พิมพ์คำที่ต้องการค้นหาลงไปในช่องว่าง จากนั้นคลิกปุ่มค้นหา ดังภาพ
               
          3. จากนั้น ระบบจะเชื่อมโยงไปยัง http://www.google.co.th/ และทำการค้นหาข้อมูล ดังภาพ
            


แหล่งที่มา: http://www.oae.go.th/ewt_news.php?nid=4756

ตัวอย่างการใช้งาน Search engine
เมื่อ ใช้โปรแกรม Browser เปิดไปที่ http://www.siamguru.com ก็จะเข้าสู่โฮมเพจ ของโปรแกรม Search engine ซึ่งเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้การสืบค้นหาข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เหมือนกับการที่ไปห้องสมุดขนาดใหญ่ถ้าเราต้อง การค้นหาหนังสือสักหนึ่งเล่ม ถ้าไม่ใช้ระบบการค้นหา จากบัตรรายการหรือระบบคอมพิวเตอร์ เราไม่มีทางหาหนังสือเล่มนั้นเจอเลย เช่นเดียวกัน บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตถ้าเราไม่รู้แหล่งข้อมูล ชื่อโฮมเพจที่เกี่ยวข้อง ก็ไม่สามารถค้นหาข้อมูล ความรู้ต่างๆ ที่เราต้องการ ได้ ดังนั้นจึงมีการสร้าง เครื่องมือค้นหาที่เรียกว่า Search engine ขึ้นให้บริการฟรี จากต่างประเทศ และในประเทศ ซึ่งก็มีรูปแบบ และวิธีการใช้งานที่คล้ายๆ กัน จะต่างกัน ที่ Search engine ของคนไทยทำ จะสามารถสืบค้นด้วย คำหรือข้อความ ที่เป็นภาษาไทยได้ นอกเหนือจากคำหรือข้อความที่เป็นภาษาอังกฤษ ตัวอย่างของโฮมเพจที่ทำหน้าที่เป็น Search engine ของไทย ได้แก่
www.siamguru.com, www.sanook.com,www.catcha.co.th,www.thaiseek.com เป็นต้น


http://www.siamguru.com/




Search engine ของบริษัทนี้ได้ออกแบบเครื่องมืออำนวยความสะดวก ไว้ให้ใช้งานหลายรูปแบบ แยกเป็นประเภทต่างๆ เพื่อช่วยให้การค้นหาข้อมูล ทำได้ง่าย รวดเร็วขึ้น ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของSearch engine ในเมืองไทยของเรา จะมีความสามารถ เทียบเท่า Search engine ดังๆ ของต่างประเทศเช่น Yahoo.com , Alatavita.com หรือไม่ ก็คงต้องเข้าไปทดลองใช้งานดูครับ ซึ่งตัวอย่างด้านล่างต่อไปนี้ ได้แสดงวิธีการใช้งานแบบต่างๆ ที่ทำ Link ไว้ให้คือ แบบ Basic, แบบ Super Search,แบบ Music และแบบ Image



คุณประโยชน์ของ SEO ที่ไม่อาจจะปฎิเสธได้
หลังจากที่ท่านได้นำ SEO ไปใช้และได้เห็นเว็บไซต์ของตัวเองปรากฎอยู่ในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาภายใน Search Engine หรือจะยังไม่เห็นก็ตาม แต่นั้นก็เป็นจุดมุ่งหมายของเจ้าของเว็บไซต์ทุกคน และการที่เจ้าของเว็บไซต์ได้นำ SEO ไปใช้จะเข้าใจถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการทำ Search Engine Optimization อย่างแท้จริง ดังนั้นวันนี้เราจะมากล่าวถึงประโยชน์ของการทำ SEO ให้สมาชิกได้ทราบกัน
SEO มีประโยชน์อย่างไร 
8 คุณประโยชน์ที่ไม่อาจปฏิเสธ Search Engine Optimization
  1.การสร้างลูกค้าด้วยค่าใช้จ่ายที่ประหยัด
อย่างที่ทราบกันอยู่ว่าเราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดในการที่จะทำให้ Search Engine มาอินเด็กซ์เว็บไซต์ของเรา และถ้าหากเว็บไซต์ของเราทำ SEO อย่างถูกต้องแล้วก็ยิ่งจะทำให้เราได้รับผู้เยี่ยมชมที่สามารถกลายเป็นลูกค้าของเราได้อย่างง่ายดายโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ในขณะที่คนอื่นอาจจะต้องเสียค่าใช้'จ่ายจำนวนมากต่อเดือนเพื่อลงโฆษณาบน Sponsored Links ไม่ว่าจะเป็น Google, Yahoo หรือ MSN

2.ค่าใช้จ่ายที่คงที่
ค่าใช้จ่ายในการทำ Search Engine Optimization จะเป็นอะไรที่ค่อนข้างคงที่ ซึ่งในบางครั้งการทำ SEO ในช่วงแรกนั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่พอผ่านขั้นตอนแรกไปแล้ว หลังจากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนของการบำรุงรักษาอันดับ ค่าบริการสามารถลดลงได้ แต่ในทางกลับกัน การลงโฆษณาแบบ Paid-Search จะค่อนข้างเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา


3.ช่วยสร้าง Brand Visibility สมาชิกลองนึกดูนะครับว่า ถ้าหากสมาชิกค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดคำว่า "ประกันชีวิต" บริษัทประกันภัยชื่อดังต่างๆ ก็จะปรากฏขึ้นมาภายในหน้าแรกของ Google ยิ่งถ้าเป็นเว็บไซต์ของสมาชิกด้วยแล้วละก็ Brand ของสมาชิกก็จะปรากฏต่อสายตาผู้ค้นหาเป็นจำนวนมาก และสำหรับบริษัทอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ภายในหน้าแรกนั้นหากต้องการที่จะอยู่ในหน้าแรกของ Google ก็ต้องซื้อโฆษณาในรูปแบบ PPC ซึ่งค่อนข้างที่จะแพงถ้าหากเป็นคำที่มีการแข่งขันสูง

4.ช่วยทำให้เกิดเป็นมาตราฐานและสามารถเข้าถึงได้ของเว็บไซต์ การที่เราจะสร้างเว็บไซต์ให้เป็นที่ชื่นชอบต่อ Search Engine นั้นต้องอาศัยการปฏิบัติอย่างถูกต้อง เนื่องจาก Robots/Crawler นั้นสามารถสังเกตเห็นถึงข้อผิดพลาดของโค้ดได้ เพราะฉะนั้นแล้วการตรวจสอบความถูกต้องของโค้ดนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อ SEO และประโยชน์ที่จะตามมานั้นก็คือจะช่วยทำให้เว็บไซต์ของเราเป็นมาตราฐานมากขึ้นและสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

5.ช่วยทำให้เกิด Repeat Business ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาจาก Search Engine โดยส่วนมากค่อนข้างจะใช้บริการเว็บไซต์ของคุณในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า ซึ่งนั้นก็หมายถึงเราสามารถที่จะเพิ่มจำนวนลูกค้าประจำเว็บไซต์ของคุณได้ด้วยการทำ Search Engine Optimization

6.ช่วยสร้างลูกค้าใหม่ การค้นหานั้นเกิดจากความต้องการของผู้เยี่ยมชม เพราะฉะนั้นแล้วผู้เยี่ยมชมที่มาจาก Search Engineโดยส่วนมากจะมีความสนใจในสินค้าหรือบริการ และถ้าหากเว็บไซต์ของเราแสดงเนื้อหา ข้อมูลที่พวกเขาต้องการ การที่พวกเขาเหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นลูกค้าประจำคนใหม่ของคุณนั้นก็มีโอกาสเป็นได้สูงเช่นกัน

7.ช่วยสร้างคอนเทนต์ที่ไม่เหมือนใคร
เป็นที่ยอมรับกันอยู่แล้วว่าคุณภาพของเนื้อหาและเนื้อหาที่เป็นต้นฉบับนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำ Search Engine Optimization และโดยธรรมชาติของข้อมูลภายในเครือข่าย WWW (World Wide Web) นั้นเนื้อหาที่ดีย่อมดึงดูดลิงค์เชื่อมโยงจากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ โดยเหตุผลนี้จึงสามารถอธิบายได้ว่าทำไม คุณภาพของเนื้อหาภายในเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งสำคัญ

8.เป็นโปรโมชั่นที่ไม่เคยหลับ Search Engine นั้นเปรียบได้เทียบเท่ากับบริษัทโฆษณาส่วนตัวของคุณและทำงานให้คุณตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่ออาทิตย์ 365 วันต่อปี ซึ่งสามารถพูดได้ว่าเป็นบริษัทโฆษณาที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้

แหล่งที่มา: http://www.thailandbid2you.com/boardtopic.php?board_id=214


 ข้อดี ข้อเสีย SEO

2.41 Search Engine

     SEO คือปลายทางของ Marketing แล้วทำไม SEO จึงเป็นปลายทางของ Marketing? นั้นก็เพราะว่าก่อนที่คุณจะตัดสินใจลงทุนทำ SEO นั้นคุณต้องวิเคราะห์มาก่อนแล้วว่า การทำ SEO จะเป็นช่องทางที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้ การทำ SEO นั้นไม่ได้มีแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียวแน่นอน ก่อนการตัดสินใจเลือกให้ SEO เป็นช่องทางให้การทำการตลาด ควรศึกษาข้อดีข้อเสีย รวมไปถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจและเว็บไซต์ของคุณก่อนดีกว่า


ข้อดีของ SEO
  • ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ยี่ห้อ / ตราสินค้า ของคุณปรากฏต่อผู้ใช้ที่ค้นหาเจอ
  • ทำให้เกิดการแข่งขันสูง ทำให้ธุรกิจต้องมีการปรับตัวตาม ปรับแผน ปรับปรุงเว็บไซต์ เพื่อสู้กับคู่แข่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน
  • สามารถวางกลุ่มเป้าหมาย (Target Group) ได้ตรงตามที่ต้องการ
  • ช่วยขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น
ข้อเสียของ SEO
  • ความไม่แน่นอนของอันดับ ด้วย Algorithm ที่มีการปรับปรุงตลอด จึงทำให้อันดับของเว็บไซต์นั้นมีการขยับอยู่เนื่องๆ ขึ้นบ้างลงบ้าง เป็นความไม่แน่นอนที่อาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในเว็บไซต์ได้
  • ใช้เวลาในการทำอันดับนาน การปรับอันดับไม่สามารถทำได้แบบทันที ต้องใช้เวลานานมากกว่า 7-30 วันจึงจะมีการปรับปรุงอันดับเกิดขึ้น (ตามความหนาแน่นของคู่แข่งด้วย)
  • ในเว็บไซต์หนึ่งหน้านั้น จำกัด Keywords ที่เลือกทำ SEO ด้วย เนื่องจากการทำ SEO ต้องมีการปรับเกี่ยวกับเนื้อหาภายในเว็บไซต์ตาม Keywords ด้วย การเลือก Keywords


วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐


           “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550” ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 นับได้ว่าเป็นที่จับตามองและมีความสำคัญอย่างมากในทุกวงการ เพราะปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงาน องค์กรต่างๆ ภาครัฐ เอกชน คนทำงาน นิสิต นักศึกษา

            ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับพ.ร.บ.ฉบับนี้ และเตรียมพร้อมรับมือ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ และให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยของเราเป็นไปในทางที่สร้างสรรค์
           หมายเหตุ  ข้อมูลถามตอบนี้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดและเนื้อหาบางส่วนเพื่อให้ง่ายต่อการอ่านและทำความเข้าใจ การนำไปใช้และอ้างอิงใดๆจึงควรพิจารณาประกอบพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2550 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดอีกครั้ง
  
  
พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มีผลบังคับใช้เมื่อใด 

            พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาไปเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2550 และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2550 เป็นต้นไป

--------------------------------------------------------------------------------
ทำไมถึงต้องมีพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 

            นั่นก็เพราะว่าทุกวันนี้คอมพิวเตอร์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรามากยิ่งขึ้น ซึ่งมีการใช้งานคอมพิวเตอร์โดยมิชอบโดยบุคคลใดๆ ก็ตามที่ส่งผลเสียต่อบุคคลอื่น รวมไปถึงการใช้งานคอมพิวเตอร์ในการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือมีลักษณะลามกอนาจาร จึงต้องมีมาตรการขึ้นมาเพื่อเป็นการควบคุมนั่นเอง

--------------------------------------------------------------------------------
 แล้วแบบไหนจึงจะเรียกว่าเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ. ฉบับนี้

             การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
             การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
             การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ
             การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
             การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ
             การกระทำเพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
             การส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์รบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของคนอื่นโดยปกติสุข
             การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด
             การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น ผู้ให้บริการจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิด
             การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล
      เหล่านี้ถือว่าเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ. ฉบับนี้
--------------------------------------------------------------------------------

 ผู้ให้บริการที่ระบุใน พ.ร.บ. นี้ คือบุคคลใดบ้าง 

        สำหรับผู้ให้บริการตามที่พ.ร.บ.นี้ได้ระบุไว้ สามารถจำแนกได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้

          -ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมไม่ว่าโดยระบบโทรศัพท์ ระบบดาวเทียม ระบบวงจรเช่าหรือบริการสื่อสารไร้สาย

          -ผู้ให้บริการการเข้าถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไม่ว่าโดยอินเทอร์เน็ต ทั้งผ่านสายและไร้สาย หรือในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในที่เรียกว่อินเทอร์เน็ต ที่จัดตั้งขึ้นในเฉพาะองค์กรหรือหน่วยงาน

          -ผู้ให้บริการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ หรือให้เช่าบริการโปรแกรมประยุกต์ (Host Service Provider)

          -ผู้ให้บริการข้อมูลคอมพิวเตอร์ผ่าน application ต่างๆ ที่เรียกว่า content provider เช่นผู้ให้บริการ web board หรือ web service เป็นต้น

--------------------------------------------------------------------------------

 หากคุณเป็นผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลอะไรบ้าง และจะต้องเก็บข้อมูลเหล่านั้นนานแค่ไหน 

           ในกรณีนี้ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูล 2 ประเภท โดยแบ่งตามรูปแบบได้ ดังนี้
              “ข้อมูลการจราจรทางคอมพิวเตอร์” ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร ที่บอกถึงแหล่งกำเนิด ต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง วันที่ เวลา ปริมาณ ระยะเวลา ชนิดของบริการหรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะต้องเก็บไว้ไม่น้อยกว่า 90 วัน นับแต่วันที่ข้อมูลนั้นๆ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ในกรณีจำเป็นเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการเก็บข้อมูลนั้นๆ ไว้ เกิน 90 วัน แต่ไม่เกิน 1 ปี เป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายและเฉพาะคราวก็ได้
               ข้อมูลของผู้ใช้บริการทั้งที่เสียค่าบริการหรือไม่ก็ตาม โดยต้องเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็นเพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อ นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน USERNAME หรือ PIN CODE และจะต้องเก็บรักษาไว้ไม่น้อยกว่า 90 วัน นับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง

--------------------------------------------------------------------------------

 หากคุณเป็นผู้ให้บริการแต่ไม่ได้เก็บข้อมูลผู้ใช้บริการไว้เลย ถือว่าทำผิดพ.ร.บ.หรือไม่ 
                 ถือว่าทำผิดและอาจถูกปรับสูงถึง 500,000 บาท

--------------------------------------------------------------------------------

 ผู้ให้บริการที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.นี้ จะต้องเริ่มเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการเมื่อใด
                ขอแบ่งเป็น 2 กรณี กล่าวคือ กรณีแรกหากคุณเป็นผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ตหรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดยประการอื่น โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนามของตนเอง หรือในนามหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่นจะต้องเริ่มเก็บข้อมูลดังกล่าว ภายใน90 วันนับจากวันที่ได้มีการประกาศหลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูล จราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ อีกกรณีหนึ่งคือในกรณีที่คุณเป็นผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น จะต้องเริ่มเก็บข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์และข้อมูลผู้ใช้บริการภายใน 150 วัน นับจากวันที่ได้มีการประกาศหลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ
 
 
--------------------------------------------------------------------------------

บทลงโทษสำหรับผู้กระทำความผิดกฎหมายภายใต้ พ.ร.บ.นี้ 
               ผู้กระทำผิดตามพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550





--------------------------------------------------------------------------------

ในส่วนของพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการอย่างไร
         หากเกิดกรณีที่เชื่อว่ามีการกระทำผิดตามพ.ร.บ. เจ้าหน้าที่มีอำนาจอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
                  -การใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ต้องขออนุญาตศาล

                  -มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้มาเพื่อให้ถ้อยคำ ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือส่งเอกสาร ข้อมูล หรือหลักฐานอื่นใดที่อยู่ในรูปแบบที่สามารถเข้าใจได้

                   -เรียกข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์จากผู้ให้บริการเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรือจากบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง

                   -สั่งให้ผู้ให้บริการส่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้บริการที่ต้องเก็บตามมาตรา ๒๖ หรือที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมของผู้ให้บริการให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่

                   -การใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งต้องขออนุญาตศาล (พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องส่งสำเนาบันทึกเหตุอันควรเชื่อที่ทำให้ต้องใช้อำนาจตามที่ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตแล้วให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์นั้นไว้เป็นหลักฐาน)

                   -ทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ จากระบบคอมพิวเตอร์ที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ในกรณีที่ระบบคอมพิวเตอร์นั้นยังมิได้อยู่ในความครอบครองของพนักงานเจ้าหน้าที่

                   -สั่งให้บุคคลซึ่งครอบครองหรือควบคุมข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ ส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ดังกล่าวให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่

                   -ตรวจสอบหรือเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลใด อันเป็นหลักฐานหรืออาจใช้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือเพื่อสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดและสั่งให้บุคคลนั้นส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็นให้ด้วยก็ได้

                   -ถอดรหัสลับของข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลใด หรือสั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสลับของข้อมูลคอมพิวเตอร์ ทำการถอดรหัสลับ หรือให้ความร่วมมือกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในการถอดรหัสลับดังกล่าว

                    -ยึดหรืออายัดระบบคอมพิวเตอร์เท่าที่จำเป็นเฉพาะเพื่อประโยชน์ในการทราบรายละเอียดแห่งความผิดและผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้

--------------------------------------------------------------------------------


หากได้แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่แล้ว เจ้าหน้าที่จะมีขั้นตอนในการสืบสวนอย่างไร 
       หากคุณได้เข้าแจ้งความแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะมีขั้นตอนในการดำเนินการ ดังนี้

           -เมื่อได้รับการร้องทุกข์หรือตรวจพบว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่จะติดต่อกับผู้ดูแลเว็บไซต์ เพื่อขอหมายเลข IP Address และวันเวลาที่พบการกระทำความผิด

          -เมื่อทำการตรวจหมายเลข IP Address แล้วพบว่าเป็นของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider) รายใด เจ้าหน้าที่จะทำหนังสือสอบถามข้อมูลจราจรและข้อมูลผู้ใช้บริการ

           -หลังจากนั้นจะมีการเชิญผู้เกี่ยวข้องหรือผู้ที่มีรายชื่อปรากฏมาให้ปากคำ


--------------------------------------------------------------------------------

 ถ้าหากคุณเป็นผู้เสียหายจะต้องทำอย่างไร 
        หากคุณกลายเป็นผู้เสียหาย แนะนำว่าให้คุณจดจำ URL (Uniform Resource Locater) ที่พบว่ามีการกระทำความผิด และให้คุณรวบรวมพยานหลักฐานที่สามารถหาได้ เช่น จัดพิมพ์รายละเอียดต่างๆ จดจำวันเวลาและสถานที่ที่พบว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แล้วให้รีบไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานตำรวจ ณ สถานีตำรวจในท้องที่ที่ความผิดเกิดขึ้น


--------------------------------------------------------------------------------
 หากต้องการศึกษาข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ไหน และมีหน่วยงานใดบ้างที่ดูแลรับผิดชอบ 
        สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพ.ร.บ.นี้ได้จากเว็บไซต์ของหลากหลายหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องและรับผิดชอบ อาทิ

        -กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร: http://www.mict.go.th/

        -ศูนย์ตรวจสอบและวิเคราะห์การกระทำผิดทางเทคโนโลยี (High-Tech Crime Center) :http://htcc.police.go.th

        -กองบัญชาการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร: http://ict.police.go.th/

        -สำนักงานตำรวจแห่งชาติ: http://www.royalthaipolice.go.th/

        -กรมสอบสวนคดีพิเศษ: http://www.dsi.go.th/dsi/index.jsp

        -เว็บไซต์ NECTEC เพื่อประชาคมความรู้ (NECTEC PEDIA) http://wiki.nectec.or.th/nectecpedia/index.php
 
ผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
ในฐานะบุคคลธรรมดาไม่ควรกระทำในสิ่งต่อไปนี้
       เพราะอาจจะทำให้ เกิดการกระทำความผิด" ตาม พรบ.นี้
1.  ไม่ควรบอก password  แก่ผู้อื่น
2. อย่าให้ผู้อื่นยืมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อเข้าเน็ต  
3.อย่าติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สาย  ในบ้านหรือที่ทำงานโดยไม่ใช้มาตรการ การตรวจสอบผู้ใช้งาน และการเข้ารหัสลับ
4 อย่าเข้าสู่ระบบด้วย user ID และ password  ที่ไม่ใช่ของท่านเอง
5. อย่านำ user ID และ password ของผู้อื่นไปใช้งานหรือเผยแพร่
6. อย่าส่งต่อซึ่งภาพหรือข้อความ หรือภาพเคลื่อนไหวที่ผิด  กฎหมาย
7. อย่า กด "remember me"  หรือ "remember password  ที่เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะ และอย่า log-in เพื่อทำธุรกรรม
8.  อย่าใช้ WiFi (Wireless LAN) ที่เปิดให้ใช้ฟรี โดยปราศจากการเข้า รหัสลับข้อมูล

อ้างอิง  http://www.etcommission.go.th/documents/laws/20070618_CC_Final.pdf
 เอกสารคำอธิบายพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดยนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 4
 ประกอบการฝึกอบรมของสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมที่ 772/2550

ที่มา : http://www.inet.co.th/computer_act/